08 กันยายน 2553

บันทึกจากชายผู้คิดแง่ลบ ตอนที่ 1 "ยอดมนุษย์ผู้พ่ายแพ้"

เขียนเมื่อวันพุธที่ ๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๓

จิตใจที่วุ่นวายกับคนรัก ระคนกับงานวิจัยระดับปริญญาโทที่ยังหาทางออกไม่เจอช่างรบกวนจิตใจเสียมากมาย ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่ไร้สาระและธรรมดามากๆ จะส่งผลอย่างยิ่งยวดต่อยอดมนุษย์ที่ผ่านสงครามความรักและความโหดร้ายของการทำงานอย่างทารุณเกือบจะสิบปีจนต้องระบายมาเป็นตัวอักษร

สิ่งที่บ่งบอกถึงความไม่ปกติของจิตใจในขณะนี้ ก็คือ

1. ความอยากอาหารลดลง ทำให้ไม่อยากกินอาหารมากเหมือนเก่า ผลก็คือสามารถลดน้ำหนักลงได้ถึง 3 กิโลกรัมในระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ (ขนาดทำงานอย่างหนักมา 3 ปี ยังไม่เคยลดได้มากขนาดนี้) แต่ตัวผมเองก็ไม่ได้ดูผอมลงนะ เพราะการลดอาหารโดยไม่ได้ออกกำลังกาย จะลดแต่น้ำหนัก แต่ร่างกายไม่เล็กลง

2. อ่านหนังสือธรรมมะและคิดมากขึ้น ซึ่งความจริงจังในการอ่านหนังสือธรรมมะของผมก็หายไปนานแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องสะดุด หรือกลุ้มใจจริงๆ ทางพระไม่มีทางเจอกับผมแน่ๆ แต่ว่าไม่ใช่ผมไม่อ่านนะ ผมอ่านมาตลอดแหละหนังสือธรรมมะน่ะ แต่ไม่ได้ใส่ใจนำมาปรับกับตนเองเหมือนอย่างนี้บทความนี้เพิ่งเขียนครั้งแรก

สุดท้ายนี้ยอดมนุษย์ผู้พ่ายแพ้ได้รับกำลังใจจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะเพื่อนผู้ช่วยเหลือ แต่ไม่รู้ว่ายอดมนุษย์ จะสามารถต่อสู้กับเหล่าอธรรมได้อีกนานหรือไม่ ข้อดีของยอดมนุษย์ผู้พ่ายแพ้นี้ ที่ผมภูมิใจมากที่สุดก็คือ การที่ผมสามารถลดน้ำหนักได้มากกว่าสามกิโลในรอบระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมานี้ สำหรับวันนี้ผมหมดมุกแล้ว เราอาจได้พบกันอีกในเร็วๆนี้ ถ้าผมยังไม่หายพ่ายแพ้

"แล้วสิ่งนั้นจะผ่านพ้นไป"
ในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องประสบกับโลกธรรม 8 คือได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ต้องมีเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์เป็นธรรมดาหากเราสามารถเตือนสติตนเองได้ว่า "แล้วสิ่งนั้นจะผ่านพ้นไป" ก็จะช่วยให้เราทำใจเป็นกลางทำใจเป็นปกติได้ เมื่อความรู้สึกต่าง ๆ เกิดขึ้น เช่น หงุดหงิด โกรธ น้อยใจ เสียใจ ขี้เกียจ วิตกกังวล หรือมีความรู้สึกตื่นเต้น ยินดีพอใจก็ตาม
ให้เรามีสติ ปรับปรุงลมหายใจยาวๆ หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ ให้เกิดความรู้สึกตัว รักษาใจเป็นกลางๆ ทำใจสงบและทำใจปล่อยวางว่า “แล้วสิ่งนั้นจะผ่านพ้นไป” เมื่อมีทุกข์ ทุกข์นั้นไม่ใช่สิ่งจีรังยั่งยืน ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะนำความทุกข์นั้นมาเป็นกังวล เมื่อมีสุข สุขนั้นก็ไม่จีรังยั่งยืนเช่นกัน เราไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง


ตัดตอนบางส่วนมาจาก
หนังสือ โชคดี
พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก



*เกี่ยวกับผู้เขียน ตอนนี้คนเขียนตอนนี้อายุ 31 ปี จะใกล้ 32 ปีแล้ว และยังไม่มีเมีย บทความนี้ถือเป็นงานเขียนแบบจริงจังเริ่มต้นก่อนที่จะเขียนเกี่ยวกับความคิดด้านลบต่อไป แต่ผมไม่ใช่คนหน้าใหม่ สำหรับผู้อ่านถ้าสังเกตจากวิธีการเขียน ที่ผสมด้วยความแดกดัน จะคุ้นกับบทความของผมเป็นอย่างดี

02 กันยายน 2553

เป็นผู้หญิงน่ะ อย่าแล๋นให้มันมากนัก

(เรื่องจาก Forward Mail)
เรื่องมีอยู่ว่า กระผมซึ่งได้โดยสารรถตู้ที่ทำการปรับแต่งอย่างดีด้วยการอัดทุกพื้นที่ให้เป็นเงิน จากรถตู้ที่จุได้ 12 คน หลังจาก Modify แล้วทำให้สามารถจุคนได้เพิมขึ้นเป็น 15 คนครึ่งอย่างน่าอัศจรรย์

ทำไมถึงเป็น 15 คนครึ่ง?

คำตอบก็คือ ครึ่งคนนั้น นับที่นั่งซึ่งนั่งได้เพียงครึ่งตรูด และเบียดแบนแต๊ดแต๋อยู่ใกล้ประตู ใครนั่งตรงนี้คงคิดน้อยเนื้อต่ำใจ กุก็จ่ายเท่าเขา ทำไมต้องได้นั่งครึ่งตรูด ถ้าคิดชั้นครึ่งราคาชั้นจะไม่มาโอดครวญให้เปลืองน้ำลายเลย

เข้าเรื่อง.................

ผมนั่งรถตู้ไปราม และโชคดีที่ได้นั่งที่ที่ได้สาธยายมาแล้วข้างต้น และก็แอบคิดน้อยเนื้อต่ำใจไปแล้วด้วย แต่นั่นยังซวยไม่พอ ข้างหลังเราอย่าไปสนใจ เพราะส่วนใหญ่นั่งฟังเพลงกันทั้งนั้น มาว่ากันที่แถวของผม แถวที่เกิดปัญหา

แถวผมปกตินั่งได้สามคน แต่หลังจากเจ้าของรถตู้เห็นว่า ไอ้ที่เท่าหอยปลวกนั่นสามารถทำเงินให้เขาได้ เขาจึงจัดไปอย่าให้เสียสี่คน

คนแรกคือผม ซึ่งขอเรียกตัวเองว่า มนุษย์ผู้นั่งทับที่หอยปลวก
คนที่สองชายใส่แว่นที่ดูไร้พิษสง
คนที่สามสาวน้อยที่ปรุงแต่งตัวเองจนเกินมนุษย์มนา
คนที่สี่ แฟนหนุ่มของสาวน้อยที่เคลิบเคลิ้มไปว่าตัวเองคือ เต้ยจริญพร

บทสนทนาเริ่มต้นขึ้นทันทีที่ผมขึ้นไปนั่ง

"ทำไมต้องไปด้วย" น้องเต้ยงอน
"ไปทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยว" ผู้ชายพูด
"จะรู้ได้ไงว่าไม่ได้เที่ยว" แน่ะ ยังเรื่องเยอะอีก
"ไว้ใจกันบ้างสิ เขาจะไปรักใครได้ ตัวเองน่ารักขนาดนี้" บ๊ะ ไอ่หนุ่มนี่ไม่เบาๆ ประโยคนี้ทำให้ผมต้องแกล้งเอียงขวาทำเป็นเมื่อยคอ เพื่อที่จะได้ยลโฉมน้องนาง

..................เมื่อพลันเห็นหน้าก็ต้องหันหน้ากลับมา ก้มหน้านิ่งพร้อมกับเกิดคำถามขึ้นในใจ!!!

"ไม่รู้หล่ะ ยังไงก็จะไปด้วย" ยังไม่ยอม แหม...
"ไปไม่ได้ก็บอกว่าทำงานไง" ผู้ชายเริ่มหงุดหงิดน่าจะเถียงกันมาก่อนหน้านี้ แหม๊ เสียดาย น่าจะนั่งรถมอไซค์ขี่ย้อนไปสักสามสี่ป้าย จะได้รู้ปฐมบทของเรื่องนี้

น้องเต้ยนั่งสะดีดสะดิ้ง สะบัดไปมาหลุกหลิกๆ จนไปกระแทกผู้ชายใส่แว่นที่นั่งใกล้ๆ หลายทีจนพี่เขาเขยิบมาเบียดกุอีก

"เดี๋ยวก็ไปยุ่งกับอีเก๋อีกละสิ" หน้าเป็นตรูดและ น้องเต้ยมาในชุดขาสั้นสีเขียว เล็บสีเขียว นี่สังเกตุหมดนะนี่ แกล้งใส่หูฟังฟังเพลงไปอย่างนั้นแหละ แต่จริงๆ น่ะ ปิดเสียงตั้งแต่เถียงกันแล้ว 555
"เก๋ไหนอีกหล่ะ วันก่อนก็อุ้ม วันนู้นก็มิ้งค์" ผู้ชายว่า
"ก็บอลเจ้าชู้นิ มีแต่พวกผู้หญิงชอบมากาะแกะ" ผมแกล้งเหลือบไปมองอีกที ก่อนจะหันมาก้มหน้านิ่ง คำถามที่สองเกิดขึ้นในใจ

"โอ้ย ผัวมรึงหล่อตายห่าแล้วหละ" เออ ผู้ชายเหมือนรู้ตัว ชักมันส์ๆ
"ทำตัวงี่เง่า" ประโยคที่หลายๆ คนคุ้นเคย

แล้วทั้งคู่ก็เถียงกันมาตลอดทาง จากแรกๆ เสียงกระซิบกระซาบ ตอนนี้เริ่มดังขึ้น

"เมิงขนของออกจากห้องกุเลยนะ" อันนี้ผู้หญิงว่า
"ห้องกุ" อ่าผู้ชายสวนไปสองคำ ผู้หญิงจุก เธอขยับตัวไปกระแทกพี่แว่นอีก
"ห้องมรึงแต่กูจ่ายค่าห้อง" เถียงกันดังขึ้นๆ
"เมิงมันเห็นแก่ตัว ทีจะเอากุนะบอกอย่างนู้นอย่างนี้ ถุย" อ่าว เธอถุยมาที่พี่แว่น ที่ตอนนี้นั่งจะขี่ผมอยู่แล้ว
"เบาๆ สิ อายคน" ผู้ชายเริ่มอายแต่ผมเริ่มมันส์ จริงๆ ผู้หญิงด่าอีกเยอะมาก เสียงดังบ้างเบาบ้าง ทำเหมือนกับในรถตู้ บนถนนลาดพร้าว มีแค่มันแค่สองตัว!!!! (ขอโทษสำหรับคำหยาบครับ)

แล้วประโยคเด็ดก็มา

"อายทำไม จะอายทำไม หมาทั้งนั้น" ผมอึ้งกิมกี่ไปเลย กล้าพูดออกมาได้ยังไง คนอื่นเขาจะรู้สึกยังไงไม่รู้ แต่ผมแค้น

พี่แว่น ฮีโร่ของผมผู้เป็นตัวแทนด้านมืดในจิตใจผม ได้หมดความอดทน
"น้องครับ เป็นผู้หญิงน่ะ อย่าแล๋นให้มันมากนัก"

"แล้วมายุ่งอะไรด้วย แฟนเขาทะเลาะกัน" แน๊ะ ยังตอบประโยคหากินแบบนี้ได้อีก
"ทะเลาะกันพี่ไม่ว่า แต่พี่ว่า พวกพี่เป็นหมานี่มันไม่สวยนะ"
"ไม่ได้ว่าใคร ใครจะรับก็รับไป" ผู้หญิงแร๊ง ต่ผู้ชายทำหน้าเอือม
"พี่ไม่อยากทำร้ายผู้หญิงนะ"

ตอนนี้บรรยากาศในรถเงียบกริบ รถติดแหง๊กอยู่ก่อนจะถึงโชคชัย4

"หน้าตัว ......เมีย" สุดยอดมั๊ยครับ คุณคิดกันบ้างมั๊ยว่าจะมีผู้หญิงแบบนี้อยู่ในโลก
"ลงไป ลงไปให้หมด" คนขับรถตู้ไล่ สงสัยแกจะรำคาญ
ส่วนผมทำหน้าแบ๊วสุดชีวิต ส่งสายตาไปหาพี่เค้า "หนูไม่เกี่ยวน๊า"

พี่แว่นแกเลยลงไป ก่อนจะดึงแขนน้องผู้หญิงลงไปด้วย ผมอ่ะซ๊วยซวย กระโดดลงแทบไม่ทัน
"เมื่อกี้ว่ายังไง หา" พี่แว่นตวาดลั่นเลย ดีที่ตรงนั้นไม่มีคน น้องผู้หญิงก็ทำท่ากวนๆ อ่ะนะ แฟนเขาก็โดนไล่ลงมาด้วย
ผมกลับขึ้นมานั่งบนรถ แต่ด้วยความอยากรู้ จึงแกล้งเปิดประตูรถแอบฟัง และแอบสังเกตว่าคนทั้งรถตู้ที่ตอนแรกใส่หูฟัง ตอนนี้พร้อมใจกันถอดออกหมด 555

"ว่าไง เมื่อกี้ด่าใคร" "ใครจะรับก็รับไปสิ" ทำหน้ากวนอีกเขาจะต่อยเอาแล้ว ผมงี้ หืออออออ
"มรึงอยากโดนดีใช่มั๊ย ห๊า" ประมาณนี้แหละ ไม่ค่อยได้ยิน แต่พี่แว่นเขาผลักน้องนั้นเซไปเลยอ่ะครับ น้องมันก็ตกใจ แต่ก็ยังกล้าอยู่ ยังจะพุ่งไปตบเขา แต่พี่แว่นแกง้างหมัดแล้ว น้องมันเลยชะงัก แล้วก็ถอยไปเกาะแขนผู้ชาย ประมาณว่า "เฮ้ยช่วยกุหน่อยสิ" แต่ขอโทษครับ จังหวะนี้พี่แว่นแกดุดัน เอาจริง แฟนหนุ่มหุ่นยังกับจิ้งจกโดนประตูหนีบสิบสองทีแบบนี้ไม่รอดแน่ๆ ถ้าโดนพี่แว่นเล่นงานน่ะ

"เรื่องของ มรึง กุเตือนแล้ว" โหว อย่างแมน คดีพลิก มันส์ยิ่งกว่าละคร ไทรโศก
ผู้ชายสะบัดแขนไร้เยื่อไย ก่อนจะโบกมอไซต์รับจ้าง แผ่นแน๊บทิ้งให้ผู้หญิงยืนงงเป็นไก่ตาแตก

"จะเอาไง ยังจะปากดีอีกรึป่าว" พี่แว่นพูดต่อ
"......................." (ไร้เสียงใดๆออกจากปากของน้องเต้ยอีก)
"จะขอโทษดีๆ หรือจะขอโทษทั้งเลือดกลบปาก" พี่แว่นยังรุกคืบต่อ

น้องเต้ยที่ตอนนี้ตัวคนเดียว ฤทธิ์เดชเลยลดลงฮวบฮาบ ทำหน้าเจื่อนๆ ก่อนจะพูดขอโทษแบบขอไปทีอ่ะนะ ไอ้ขอโทษนะไม่เท่าไหร่
แต่ไอ้ที่ขำนี่ น้องเต้ยดันยกมือไหว้แล้วถอนสายบัวด้วยนี่สิ ขำอ่ะ สงสารก็สงสารนะ แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง เมื่อกี้น้องก็ด่าพี่เสียสะดุ้งทีเดียว ในรถตู้ผู้หญิงก็ค่อนคัน แต่ไม่มีใครช่วยซักกะคน

รถตู้ค่อยๆ หมุนล้อไป ทิ้งคนทั้งคู่ไว้เบื้องหลัง ผมขยับมานั่งตรงกลาง ที่นั่งด้านหน้าเป็นของเรา แอร์เต็มๆ ที่กว้างๆ นั่งไขว่ห้าง เคลิ้ม สบายตรู!!

27 กรกฎาคม 2553

ใครรักหมาควรอ่าน...เป็นอุทาหรณ์!!!


หมาืั้ที่หน้าตาเหมือนหมาในการ์ตูนพันธ์นี้ ชื่อว่าบูลเทอร์เรีย หลายคนมองแล้วนึกว่าจะน่ารักเหมือนในการ์ตูน......







อุทาหรณ์...ปล่อยลูกชายวัยเตาะแตะอยู่ลำพังกับสุนัขบูลเทอร์เรีย


พ่อสุดเศร้า-จำสภาพแทบไม่ได้

-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-



พ่อสุดเศร้า-จำสภาพหมาแทบไม่ได้

22 กรกฎาคม 2553

คุณเชื่อหรือไม่ กับคำทำนาย .... ถิ่นกาขาว

คำทำนายที่เคยมีช้านานนัก เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้
หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยทำนาย เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา

ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า
พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา เป็นประชาจนเต็มพระนคร

ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร
ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน

ชาวประชาจะปิติยิ้มสดใส แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น
จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา

จะมีการต่อตีกันกลางเมือง ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า
คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร

ข้าราชการตงฉินถูกประณาม สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้
เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี

ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะหมุดขุดรูหนี
ไม่แน่ใจสิ่งที ่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน

พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ
เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย

แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย
เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน

ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น
ทั้งพฤฒาอาจารย์ลือระบิล จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม

ความระทมจะถมทับนับเทวศ ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่ นขม
คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม ส่วนคนชั่วหัวร่อร่าทำท่าดัง

จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ
ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประช า

คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าศรีทองผ่องอำไพ...

(ที่มา e-mail)

08 มีนาคม 2553

อันนี้ไม่รู้ว่าคิดบวกหรือคิดลบ

ลองบอกหน่อยสิว่าคุณคิดอย่างไร

23 กุมภาพันธ์ 2553

มนุษย์เงินเดือนกับชาวนา



หลายคนคงเคยเห็นการเปรียบเทียบระหว่างมนุษย์เงินเดือนกับชาวนาผ่านทาง email กันมาบ้างแล้ว วันนี้ลองมาฟังหนึ่งมุมมองต่อการเปรียบเทียบดังกล่าวดู

ชอบเป็นมนุษย์เงินเดือน เพราะ

มีเงินใช้ สำหรับเที่ยว เลี้ยงเด็ก(อายุไม่เกิน 20 ปี บวกลบได้นิดหน่อย)

มีเงินกินเหล้า ไม่ต้องเป็นห่วงใคร เพราะอยู่คนเดียว

ใช้ชีวิตในเมือง อยู่กับแสงสี อยู่กับความฝัน ทำงานมีหยุดวันอาทิตย์

เพื่อนมีเพื่อนที่ทำงาน เพื่อนที่โรงเรียนเก่า เพื่อนที่มหาวิทยาลัย เลยไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนบ้าน

เวลาใกล้ตาย ไม่มีใครมาเยี่ยม แล้วไง ก็เลือกเองว่าจะอยู่คนเดียว ตายคนเดียวมันแปลกตรงไหน

เวลาตายเหลือตำแหน่งว่าง แล้วกรูอยู่ในเมืองจะบริจาคสร้างวัด ศาลา บริจาคหนังสือ ช่วยการกุศล

ไม่ได้หรือไงวะ ต้องเป็นชาวนารึไงถึงจะบริจาคได้ แล้วอยู่ในเมืองเข้าวัดฟังธรรมไม่ได้หรือไง
ในเมืองไม่มีวัดหรือ แล้ววัดมันต้องอยู่กับชาวนาหรือไง ปัญญาอ่อน

ในเมื่อกรูไม่มีความสุข กรู ตายตอนอายุสามสิบห้า แล้วไง จำเป็นต้องทรมาน อยู่จนอายุเจ็ดสิบหรือ
กรูตายเร็ว ก็เพราะกรู มีความสุขกับการกิน ทำในสิ่งที่อยากทำ ไม่เดือดร้อนใคร อย่างน้อย ในช่วง
ชีวิตอันแสนสั้นนี้ก็ได้ตามใจตัวเอง กินเองตายเอง ไม่ต้องมาบังคับตัวเองให้ทำโน่นทำนี่

วิจารณ์คนเขียนนะ ไม่ใช่คนส่ง

02 กุมภาพันธ์ 2553

16 คำทำนายของพระพุทธเจ้า

ในยุคโลกาภิวัตน์ ที่ความเจริญทางด้านวัตถุ ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง เป็นที่น่าฉงนว่า ทำไมคนในโลกกลับมีความสุขน้อยลง และดูเหมือนว่าปัญหาในการดำรงชีวิตกลับมีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปัญหาทางด้านศีลธรรม จริยธรรมอันเป็นความเจริญทางด้านจิตใจ ดูจะเป็นสมการผกผันกับความเจริญทางด้านวัตถุอย่างน่าเป็นห่วง ทุกวันนี้ หากเราฟังข่าวคราวไม่ว่าในประเทศไทย หรือประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ล้วนแล้วแต่มีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และภัยอันเกิดจากน้ำมือของมนุ ษย์ด้วยกันเอง หลายๆ สิ่งเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ก็สามารถนำมาใช้คาดการณ์ล่วงหน้าและรับมือได้ทัน แต่ก็มีไม่น้อย ที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยียังไปไม่ถึง แต่หากจะบอกว่าสภาพการณ์หลายๆ อย่างที่อุบัติขึ้นในสมัยปัจจุบัน เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้า ได้ทำนายล่วงหน้ามาแล้วกว่า 2500 ปี หลายๆ คนอาจจะยังไม่เชื่อ หรือไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำเรื่อง “พุทธทำนาย” อันปรากฏอยู่ในอรรถกถาพระไตรปิฎก มหาสุบินนิมิตชาดก เอกนิบาตชาดก ขุททกนิกาย ซึ่งเป็นเรื่องเล่าถึงสมัยที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงทำนายพระสุบิน(ความฝัน) ให้พระเจ้าปเสนทิโกศล จำนวน 16 ข้อ ว่ามีความหมายอย่างไร ดังนี้

วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศล ผู้ครองกรุงสาวัตถี ได้เสด็จเข้าสู่นิทรารมย์ในราตรีกาล ครั้นล่วงปัจฉิมยามใกล้รุ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็น พระสุบินนิมิตอันใหญ่หลวง ถึง 16 ประการ อันเป็นพระสุบินที่แปลกประหลาด จึงทรงตกพระทัยตื่นบรรทม และครั้นรุ่งเช้า ก็ได้ให้พวกพราหมณ์ปุโรหิตประจำราชสำนักทำนาย พวกพราหมณ์ปุโรหิต ก็พากันทำนายว่าเป็นพระสุบินที่ร้าย และว่าพระองค์จะต้องประสบภัยอันตราย 3 ประการ ไม่เสียราชทรัพย์ ก็จะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน หรือไม่ก็ต้องสวรรคต อย่างใดอย่างหนึ่ง และแนะให้พระองค์ทำพิธีบูชายัญสัตว์ เพื่อสะเดาะห์เคราะห์ เมื่อพระนางมัลลิกา พระมเหสีทราบเรื่องเข้า จึงทูลให้ไปขอคำแนะนำจากพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธองค์ก็ได้ทรงทำนายว่า เหตุร้ายนั้นจะมีแน่นอน เพียงแต่มิใช่เกิดแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล หรือแว่นแคว้นของพระองค์ แต่เหตุร้ายเหล่านี้จะเกิดแก่สัตว์โลกทั่วๆ ไป และแก่พระศาสนาของพระพุทธองค์ในภายภาคหน้า เมื่อล่วงเลยพุทธกาลไปแล้ว 2500 ปี เมื่อศาสนาเสื่อมลง (กล่าวกันว่า อายุของพุทธศาสนาในกัลป์นี้ ยืนยาวเพียง 5,000 ปี หลังจากนั้น ต้องรอยุคของพระศรีอาริยเมตตไตรย์ พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปเสด็จมาโปรดสัตว์)

ความฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศล และคำทำนายของพระพุทธเจ้าทั้ง 16 ประการ ประกอบด้วย

1. ทรงฝันว่า มีโคตัวผู้สีเหมือนดอกอัญชัญ 4 ตัว ต่างคิดจะชนกัน ก็พากันวิ่งมาสู่ท้องพระลานหลวงจาก 4 ทิศ ฝูงชนต่างรอดู โคทั้งสี่ก็ส่งเสียงคำรามลั่น แต่แล้วต่างก็ถอยออกไป ไม่ชนกัน - พระพุทธเจ้าได้ทรงทำนายว่า ในอนาคตในชั่วศาสนาของพระองค์ เมื่อโลกหมุนไปถึงจุดที่เสื่อมลง มนุษย์ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ฝนฟ้าจักแล้ง ทุพภิกขภัยจักเกิดขึ้น คล้ายเมฆตั้งเค้าจะมีฝน มีเสียงคำรามกระหึ่ม แต่แล้วก็ไม่ตก กลับเลยหายไป เหมือนโคตั้งท่าจะชนกัน แต่ไม่ชนกันฉะนั้น

2. ทรงฝันว่า ต้นไม้เล็กๆ และกอไผ่ที่โตเพียงคืบบ้าง ศอกบ้าง ก็ออกดอกออกผลแล้ว - พระพุทธองค์ทรงทำนายว่า ต่อไปเมื่อโลกเสื่อม มนุษย์แม้จะมีอายุเยาว์ มีวัยยังไม่สมบูรณ์ก็จะมีราคะกล้า และสมสู่กันตั้งแต่อายุยังน้อย และจะมีลูกแต่เด็กๆ เหมือนต้นไม้เล็กๆ แต่ก็มีผลแล้ว

3. ทรงฝันว่า ทรงเห็นแม่โคใหญ่ๆ พากันดื่มนมของฝูงลูกโคที่เพิ่งเกิด - ทรงทำนายว่า ต่อไปในอนาคตการเคารพนบนอบผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์จะเสื่อมถอย คนเฒ่าคนแก่พ่อแม่เมื่อหมดที่พึ่ง หาเลี้ยงตนไม่ได้ ก็ต้องง้อ ต้องประจบเด็กๆ ดังที่แม่โคที่ต้องกินนมลูกโคฉะนั้น

4. ทรงฝันว่าผู้คนไม่ใช้วัวตัวใหญ่ ที่สมบูรณ์แข็งแรงเทียมแอกลากเกวียน กลับไปใช้โครุ่นๆ ที่ยังปราศจากกำลังมาลาก เมื่อมันลากเกวียนให้แล่นไม่ได้ มันก็สลัดแอกนั้นเสีย - ทรงทำนายว่า ในภายหน้าเมื่อผู้มีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม แทนที่จะยกย่องและมอบหมายหน้าที่ ให้กับผู้มีสติปัญญา ความรู้ กลับไปมอบยศศักดิ์ให้กับคนหนุ่มที่อ่อนหัด ด้อยประสบการณ์ ทำให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดี กิจการต่างๆ ก็ไม่สำเร็จ ก็เหมือนใช้โครุ่นมาเทียมแอก เกวียนก็แล่นไม่ได้ฉันใด ก็ฉันนั้น

5. ทรงฝัน ว่าเห็นม้าตัวหนึ่ง มีปากสองข้าง ฝูงชนก็เอาหญ้าไปป้อนที่ปากทั้งสองข้าง มันก็กินทั้งสองข้าง - ทรงทำนายว่า ในอนาคตเมื่อผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจไม่ดำรงอยู่ในธรรม ตั้งคนพาล หรือคนไม่มีศีลธรรมไว้ในตำแหน่งอันมีผลต่อผู้อื่น คนเหล่านั้นก็จะไม่นึกถึงบาปบุญ คุณโทษ แต่จะตัดสินคดีต่างๆ ตามแต่ใจชอบ โดยเอาสินบนจากทั้งสองฝ่ายเป็นประมาณ ดังม้าที่กินหญ้าทั้งสองปาก

6. ทรงฝันว่าฝูงชนเอาถาดทองราคาแพง ไปให้หมาจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง พร้อมเชื้อเชิญให้หมาจิ้งจอกตัวนั้น ถ่ายปัสสาวะใส่ถาดทองนั้น - ทรงทำนายว่า ต่อไปคนดีมีสกุลทั้งหลายจะสิ้นอำนาจวาสนา คนตระกูลต่ำ หรือคนพาลจะได้เป็นใหญ่เป็นโต และคนมีตระกูล ก็จะต้องยกลูกสาว ให้แก่ผู้ไร้ตระกูลเหล่านั้น เหมือนเอาถาดทองไปให้หมาปัสสาวะรด

7.ทรงฝันว่า มีชายคนหนึ่งนั่งฟั่นเชือก แล้วหย่อนไปในที่ใกล้เท้า แม่หมาจิ้งจอกโซตั วหนึ่ง นอนอยู่ใต้ตั่งที่บุรุษนั้นนั่งอยู่ แล้วก็กัดกินเชือกนั้น โดยที่เขาไม่รู้ตัว - ทรงทำนายว่า ในกาลข้างหน้า ผู้หญิงจะเหลาะแหละ โลเล ลุ่มหลงในสุรา เอาแต่แต่งตัว เที่ยวเตร่ ประพฤติทุศีล แล้วก็จะเอาทรัพย์ที่สามีหาได้ด้วยความลำบากไปใช้ หรือให้ชายชู้ เหมือนนางหมาโซที่นอนใต้ตั่ง คอยกัดกินเชือกที่เขาฟั่น และหย่อนลงไว้ใกล้เท้า

8. ทรงฝันว่ามีตุ่มน้ำเต็มเปี่ยมตุ่มหนึ่งวางอยู่ตรงประตูวัง แวดล้อมด้วยตุ่มว่างๆ เป็นอันมาก แต่คนก็ยังไปตักน้ำใส่ตุ่มที่เต็มอยู่ จนล้นแล้วล้นอีก โดยไม่เหลียวแลจะตักใส่ตุ่มที่ว่างๆ นั้นเลย - ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อศาสนาเสื่อม คนเป็นใหญ่หรือมีอำนาจ จะเบียดเบียนหรือเอาเปรียบผู้ด้อยกว่า คนที่รวยอยู่แล้ว ก็จะมีคนจนหารายได้ ไปส่งเสริมให้รวยยิ่งขึ้น ดังฝูงชนที่ต้องตักน้ำใส่ตุ่มใหญ่ที่เต็มอยู่แล้วจนล้น ส่วนตุ่มที่ว่างอยู่กลับไม่ไปใส่น้ำ

9. ทรงฝันเห็นสระแห่งหนึ่ง มีบัวนานาชนิดขึ้นอยู่เต็ม และมีท่าขึ้นลงโดยรอบ สัตว์ต่างๆ ก็พากันดื่มน้ำในสระ แต่แทนที่น้ำบริเวณที่สัตว์เหยียบย่ำจะขุ่น กลับใสสะอาด ส่วนน้ำที่อยู่ลึกกลางสระที่สัตว์ไม่ไปดื่มหรือ เหยียบย่ำแทนที่จะใส กลับขุ่นข้น - ทรงทำนายว่า ต่อไป เมื่อคนมีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม ขาดเมตตา คอยใช้อำนาจ รีดนาทาเร้นหรือกินสินบน ชาวบ้านชาวเมือง ก็จะหนีไปอยู่ตามชายแดนหรือที่อื่นๆ ทำให้ที่นั้นๆ ที่คนพากันไปอยู่มีความมั่นคงเป็นปึกแผ่น เหมือนน้ำรอบๆ สระที่ใส ส่วนเมืองหลวงกลับว่างเปล่า เหมือนกลางสระที่ขุ่น

10. ทรงฝันว่า เห็นข้าวที่คนหุงในหม้อใบเดียวกัน สุกไม่เท่ากัน โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ข้าวแฉะ ข้าวดิบ และข้าวสุกดี - ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อคนทั้งหลายไม่อยู่ในศีลในธรรมกันมากขึ้น ก็จะทำให้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล หรือตกไม่ทั่วถึง ทำให้การเพาะปลูกบางแห่งได้ผล บางแห่งก็ไม่ได้ผล เช่นเดียวกับข้าวที่มีสุกบ้าง ดิบบ้าง และแฉะบ้าง

11. ทรงฝันว่าคนนำแก่นจันทน์ที่มีราคาแพง ไปแลกกับเปรียงเน่า (อ่านว่า เปฺรียง มี 3 ความหมาย คือ 1. นมส้มผสมน้ำแล้วเจียวให้แตกมัน 2.น้ำมันจากไขข้อวัว และ 3.เถาวัลย์เปรียง แต่ในที่นี้น่าจะหมายถึงเถาวัลย์เปรียง เทียบกับแก่นจันทน์ที่เป็นไม้เหมือนกันมากกว่า 2 ความหมายแรก) - ทรงทำนายว่า กาลภายหน้า พระภิกษุอลัชชีเห็นแก่ได้ทั้งหลาย แทนที่จะนำธรรมะ ที่พระพุทธองค์สอน ไปสอนสั่งให้คนหลุดพ้นจากความทุกข์ และละความโลภ กลับใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหากิน หาปัจจัยบริจาคเข้าตัวเอง เหมือนเอาแก่นจันทน์ (ธรรมะคำสอนที่ดี) ไปแลกเอาเถาวัลย์เน่า (ลาภอามิสที่ได้รับมา ซึ่งไม่จีรังและไม่ช่วยให้พ้นทุกข์จริงๆ ได้)

12. ทรงฝันเห็นกระโหลกน้ำเต้าจมน้ำได้ - ทรงทำนายว่า ต่อไปคำพูดของคน ที่ไม่ควรจะได้รับความเชื่อถือ กลับจะได้รับความเชื่อถือ โดยเปรียบถ้อยคำของคนที่ไม่น่าเชื่อว ่ามีน้ำหนักเบาเหมือนกับผลน้ำเต้า ซึ่งปกติจะลอยน้ำ แต่เมื่อคนเชื่อว่าคำพูดเหล่านั้นมีน้ำหนัก หรือหนักแน่น จึงเปรียบคำพูดนั้นว่ามีน้ำหนัก ราวกับน้ำเต้าที่จมน้ำได้

13. ทรงฝันว่าศิลาแท่งทึบขนาดเรือน ลอยน้ำได้เหมือนเรือ - ทรงทำนายว่า ถ้อยคำของคนที่ควรได้รับการเชื่อถือ ซึ่งหนักแน่น มีน้ำหนักเปรียบประดุจแท่งศิลา กลับไม่ได้รับความเชื่อถือ หรือกลายเป็นถ้อยคำที่ไม่มีน้ำหนักเหมือน เรือที่ลอยได้ ข้อนี้ตรงกันข้ามกับข้อที่แล้ว คือ คนหันไปเชื่อคำพูดคนที่ไม่ควรเชื่อ เหมือนสิ่งที่ควรลอยกลับจม สิ่งที่ควรจมกลับลอย

14. ทรงฝันว่า ทรงเห็นฝูงเขียดตัวเล็กๆ วิ่งไล่กวดงูเห่าตัวใหญ่ และกัดเนื้องูเห่าขาดเหมือนกัดก้านบัว แล้วกลืนกินเข้าไป - ทรงทำนายว่า เมื่อมนุษย์ปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลส ราคะ สามีจะตกอยู่ในอำนาจของเมียเด็ก และจะถูกดุด่าว่ากล่าวเช่นเดียวกับค นรับใช้ เหมือนเขียดตัวเล็กๆ แต่กลับกินงูได้

15. ทรงฝันว่า ฝูงพญาหงส์ทอง ที่มีขนเป็นทอง ถูกแวดล้อมด้วยกา - ทรงทำนายว่า ในอนาคตผู้มีตระกูลต้องไปเที่ยวประจบ และสวามิภักดิ์ต่อผู้ไม่มีตระกูล เหมือนหงส์ทองแวดล้อมด้วยกา

16. ทรงฝันว่า ฝูงแกะพากันไล่กวดฝูงเสือเหลือง และกัดกิน ทำให้เสืออื่นๆ สะดุ้งกลัว จนต้องหนีไปแอบซ่อนตัวจากฝูงแกะ - ทรงทำนายว่าต่อไปภายหน้า คนชั่ว หรือคนที่ไม่ดีจะเรืองอำนาจ และใช้อำนาจเป็นธรรม ทำให้คนดีถูกทำร้าย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ต้องหลบหนี ซ่อนตัวจากภัยร้ายเหล่านี้ เหมือนเสือซ่อนตัวจากแกะ

เมื่อพิจารณาความฝัน จะเห็นว่าหลายข้อในความฝัน เป็นสิ่งที่ผิดไปจากธรรมชาติ เช่น แม่โคกินนมลูกโค ม้าส องปาก เขียดกินงู และแกะกินเสือ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนมีนัยอันไปสู่พุทธทำนายทั้งสิ้น หลายคนอาจจะสงสัยว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์ในสมัยพุทธกาล ทำไมฝันได้ไกลไปถึงอนาคต อันไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์ได้ถึงเพียงนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าคงเป็นเพราะเทวดาดลใจ ให้พระองค์ฝันแปลกประหลาด เพื่อพระบรมศาสดาจะได้ฝาก “พุทธทำนาย” เป็นคำพยากรณ์อันอมตะไว้ เป็นเครื่องเตือนสติ ให้มนุษย์โลกได้ตระหนัก และระมัดระวังภัยพิบัตินานัปการ ที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า หลังจากที่พระพุทธองค์ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว เพราะคงเล็งเห็นด้วยญาณวิเศษแล้วว่า นับวันคนเราก็จะห่างไกลจากหลักธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ จนเป็นเหตุให้มนุษย์มุ่งทำลาย เอารัดเอาเปรียบทั้งเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง และสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพื่อกอบโกยไปบำรุงบำเรอกิเลสแห่งตน โดยขาดความรัก ความเมตตาต่อกัน จึงทำให้คนเห็นแก่ตัว และมีผลให้สภาพแวดล้อม ธรรมชาติแปรปรวนไปหมด

ในปัจจุบัน เหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น ฝนแล้ง อันทำให้เพาะปลูกได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ปัญหาเรื่องศีลธรรมและจริยธรรม เช่น เด็กและเยาวชนแก่แดดขึ้น มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยเพิ่มขึ้น ลูกขาดความกตัญญู และความเคารพยำเกรงต่อพ่อแม่ อลัชชีหรือพระทุศีลมีมากขึ้น ชายแก่ตกอยู่ในอำนาจเมียเด็ก หรือปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม เช่น คนขาดความรู้ประสบการณ์ ได้รับแต่งตั้งให้ปกครองบ้านเมืองเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้มีอำนาจรับสินบน ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป คนรวยยิ่งรวยเพราะมีช่องทาง และโอกาสเอาเปรียบคนจน เหมือนตุ่มใหญ่ที่คนตักน้ำไปใส่จนเต็มแล้วเต็มอีก แล้วปล่อยตุ่มเล็กให้ว่างเปล่า ตัวอย่างเหล่านี้ ล้วนไม่พ้นคำพยากรณ์ที่ทรงทำนาย บอกแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า จะเกิดขึ้นในอนาคตของสมัยโน้น ก็คือ สมัยนี้หรือปัจจุบันนั่นเอง

อย่างไรก็ดี ก็ยังมีพุทธทำนาย เพิ่มเติมที่มีผู้ถอดความจากศิลาจารึก เชตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย ความ ว่า พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า “....เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้น จะพบกับความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนเวียนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ คนในสมัยนั้น(ปัจจุบัน) จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัย และคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น...ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำของคนโกง กล่าวคำเท็จ ไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติชอบ กลับไม่มีคนเคารพยำเกรง พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศ มีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง

เมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ (น่าจะหมายถึงพระศรีอาริยเมตตไตรย์)....จะเสด็จมาเสริมสร้างพระศาสนา ของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปอีก 5,000 พระวรรษา…คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับเป็นกรรมของสัตว์โลกที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศีลห้าประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่หลงมัวเมาในอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคง จึงจะพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล” นี่คือพุทธทำนายที่ทรงตรัสไว้ กว่า 2500 ปีล่วงมาแล้ว ส่วนใครจะเชื่อ จะปฏิบัติหรือไม่อย่างไร ก็คงเป็นไปตามกรรม ของแต่ละคนดังพระพุทธองค์ว่าไว้

ขอขอบคุณข้อมูลข่าว : อมรรัตน์ เทพกำปนาท สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระ ทรวงวัฒนธรรม