03 ธันวาคม 2552

เรื่องจริงของสาวอาบอบนวด...ต้องอ่าน

ต้นเรื่อง
ฉันทำงานอาบ อบ นวดแห่งหนึ่งในกรุงเทพนี่ค่ะ ปัจจุบันอายุ 30 เศษแล้ว

เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ค่าตัวจริงๆ ได้ต่อหัวๆ ละ 300 กว่าบาท ถึง 500 บาท เชื่อมั้ยคะ ต้องอาบน้ำให้แขก โดนทั้งเลียของผู้ชาย โดนประตูหน้า ประตู หลัง เพื่อแลกกับเงินแค่นี้จริงๆ ค่ะ ด้วยการคัดเลือก ดิฉันได้เบอร์ตอง ซึ่งต้องรับงานมากกว่ารายอื่น ๆ อีกทั้งรูปร่างหน้าตาขณะนั้นสวยไม่แพ้ใครค่ะ เวลาเดินถนนมีชายหนุ่ม ชายแก่ หญิงสาว มองเหลียวหลัง ไม่ได้แต่งตัวหวือหวานะคะ แต่งกายเรียบ ๆ แต่หน้าอกค่อนข้างชันและใหญ่ ใครจะคิดล่ะคะว่า ทำให้ผู้ชายทั้งคนได้เงินเพียงแค่นั้นต่อหัววันหนึ่งรับงานไม่ต่ำกว่า 5 คนขึ้นไป เริ่มงานบ่ายโมง เลิกงานประมาณ 5 ทุ่มหนึ่งเดือนหยุดประมาณ 4-5 วัน แล้วแต่เลขท้ายเราลงตรงกับวันไหน

ผู้ที่ใช้บริการ ไม่เลือกวัยค่ะมีทั้งสุภาพหยาบคาย และนักบุญเคยถูกคนเมาลวนลามไม่ใส่ถุงยาง ตัวใหญ่ บังคับทุกอย่างไม่ฟังใคร แขกพวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นแขกของเจ้าของอาบอบ นวด ทำให้เราไม่กล้าฟ้องต้องก้มหน้าทำด้วยความขมขื่น

ไม่ต้องบอกนะคะ ว่าทำไมไม่เลือกเดินทางอื่นมันไม่พอกินค่ะ แล้วดิฉันก็เคยโดนข่มขืนหมู่มาแล้ว ไม่มีใครตามคดีช่วยดิฉันได้เลย คิดประชดตัวเองด้วยการทำงานนี้ซะเลย แต่ก็ไม่ได้สบายดังที่คิดนัก ต่อมามีการตรวจโรคซึ่งมีเป็นประจำอยู่แล้ว ดิฉันติดเอดส์ อยู่ในขั้นแรก ๆ จึงต้องหยุดงานและรักษาตัวเรื่อยมางดเหล้า งดบุหรี่ ร่างกายเริ่มอ่อนแอลงทุกวันไปหาหมอ ได้รับคำแนะนำให้เข้าโครงการฟรี แต่ต้องดูแลตัวเองทุก เดือนต้องไปพบหมอได้รับยาฟรี ในระยะปีกว่าที่รับยาผิวพรรณเริ่มแห้งมีสะเก็ดและดำคล้ำ จึงเปลี่ยนยาและผิวพรรณก็กลับมาอยู่ในสภาพปกติ มีข้อเสียคือ แขน ขา ก้นจะเล็กลีบต้องทานยาวิตามินช่วยซึ่งเราต้องออกเงินซื้อเองเดือนละ 1000 กว่าบาทเงินสะสมก็ร่อยหรอลง ไปจึงคิดเรียนและหางานทำ

แต่ก็ยังมีแขกบางคนไม่รู้ แวะเวียนมาใช้บริการที่ห้องบ่อยๆ

มีรายได้จากการขายตัวเดือนละ 2-3 หมื่นบาท ก็อยู่ได้แต่แขกพิเศษที่แวะเวียนมาจะทำตัวสนิทสนมมากจนเกินไปไม่ยอมสวมถุงยาง ดิฉันก็ไม่กล้าบอกว่าเป็นอะไรในเมื่อห้ามไม่ฟังก็ต้องยอมให้แต่โดยดี แต่ดิฉันมีความไม่สบายใจมากๆ เวลาผ่านไป 3-4 เดือน ต้องคอยหนีย้ายหอพัก เพราะหากเขารู้ว่าเป็นโรคอาจจะคิดว่าติดกับดิฉันก็ได้หรือพฤติกรรมเขาอาจจะติดกับที่อื่นๆ ก็ได้เพราะบางคนในระยะที่ทำงานนวด อยู่นั้น เขาเป็นโรคแล้วก็เปลี่ยนที่มำงานไปเรื่อยๆ หากแขกต้องการไม่สวมถุงยาง เขาจะตามใจทันทีเขาสมน้ำหน้าที่ไม่ระวังเองทุกคนที่เที่ยวต้องระวังนะคะเรื่องจริงทีเดียว ส่วนดิฉันก็เดือดร้อนต้องย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ แขกที่สวมถุง ดิฉันก็ให้ที่อยู่ใหม่ และให้หาแขกหรือเพื่อนมาเพิ่มทำให้รายได้อยู่ในระดับเดิม

แต่ในระยะหลังๆคุณภาพชีวิตของดิฉันดีขึ้นสุขภาพดีจนเกือบปกติ รับแขกได้มากและแขกก็สวมถุงยางทุกคนทุกครั้ง

ยกเว้น แขกใหม่ ที่เพื่อนแขกแนะนำมาซึ่งใช้บริการดิฉันมาเกือบครึ่งปีแล้ว นัดดิฉันไปเที่ยวตากอากาศชายทะเลที่ระยองบอกว่าจะมีเพื่อนอีก 3 คนไปด้วย ให้ราคา ดีดิฉันจึงไปกับเขา เขาจะให้ดิฉัน ดื่มเหล้าดิฉันก็ไม่ดื่ม เพราะไม่ถูกกับโรคเวลาทานยา ต้องเข้าห้องน้ำแอบทาน เขาเมามายและหื่นมากๆ ร่วมกับดิฉันนัวเนีย ไปหมดพร้อมกัน โดยชาย 4 คนทำเหมือนหนังเอ็กซ์ฝรั่งที่สำคัญบังคับดิฉันโดยไม่สวมถุง ดิฉันจะบอกว่าเป็นอะไรกลัว เขาไม่เชื่อและหากเชื่อก็ต้องทำร้ายดิฉัน เขานอนพร้อม ๆ กับดิฉันตลอด 3 วัน ทำให้เขาทุกอย่าง จนระบมไปหมด ได้ค่าเหนื่อยมาสองหมื่นบาทดิฉันน่ะคุ้มมาก แต่พวกเขาจะคุ้มหรือไม่ฉันรู้ดี และคิดว่าทุกคนต้องติดโรคจากดิฉันแน่นอนอย่างน้อยที่ดิฉันจำได้แต่ละคนร่วมเพศกับดิฉันไม่ต่ำกว่าคนละ 6 ครั้ง จะไม่มีครั้งใดไม่ติดโรคเชียวหรือ

ตอนนี้ต้องย้ายที่อยู่อีกแล้ว จึงอยากขอเตือนนักเที่ยวท้งหลายเมื่อเที่ยวผู้หญิง ๆ ห้ามอะไรต้องเชื่อเพราะว่าเขารู้ตัวเองดี

จงตระหนักว่า ผู้หญิงทุก ๆคน ที่คุณไปใช้บริการนั่นกาหัวไว้ก่อนเลยว่า เขาเป็นเอดส์ ไม่ใช่เพราะเขาไม่ป้องกันตัว เป็นเพราะผู้ชายบังคับเขา ดังนั้นจึงเป็นส่วนหนึ่งที่เขาได้แก้แค้นผู้ชายโดยไม่ตั้งใจติดโรคไปสู่ เมียที่บ้านมีลูกพลอยติดโรคไปด้วย ชีวิตที่เคยเป็นจะเป็นนรก เช่นดิฉันได้รับ....

ปล. ส่งต่อให้คนอ่านเยอะๆนะค่ะ!! สงสารคุณแม่บ้านจริงๆ

.....................................................................................................................................................................
คำตอบ

ส่งให้พวก เรียนบริหารด้วยซิ พวกนั้นมักไว้ใจพวกเดียวกันเอง มีโอกาสติดมากกว่าอีก (ทำไมส่งให้ กรู คนเดียว)

แล้วก็สอนให้พวกบริหาร ใส่ถุงยางด้วยนะ เพราะถ้าใส่ไม่ดีมันจะแตก หลุด อ้อ ต้องดูขนาดด้วยนะ

ถุงยางมันมีขนาดของมัน ถ้าใหญ่หน่อยก็ให้ใส่ใหญ่ จะได้ไม่อึดอัด แล้วก็ไอ้เรื่องพวกนี้น่ะ

มีมานานมากแล้ว ไอ้คนที่ไม่รู้ก็พวก เด็กดี(ในสายตาพวกเดียวกันเองนั่นแหละ)ส่งให้มันดูด้วย

จะได้ระวังเอาไว้ อีกอย่าง ผู้หญิงขายบริการทุกคนกลัวเอดส์ และต้องการใส่ถุงยางทุกครั้งอยู่แล้ว

ไม่มีใครอยากเล่นเพรียวหรอก มันก็กลัวแขกเหมือนที่เรากลัวนั่นแหละ (อันนี้ถามมาเอง)

มันให้ใส่ทุกคนนั่นแหละ ปลอดภัยมากๆ แต่ตัวมันก็มีโอกาสติดมากจากเรืองที่เล่า

แต่จากข้อมูลการติดเอดส์ บางส่วน จะมาจากความไว้ใจ คิดว่าต่างคนต่างสะอาด ก็เลยติด ก็ไอ้พวกคนดี

ทั้งหลายที่มันเอากันเองนี้แหละ มันไม่รู้ว่าติด เพราะคิดว่าสะอาด เสียคนมาหลายคนแล้วให้ระวังให้ดี

เรามันนักเที่ยว ต้องรู้จักป้องกัน และรู้เชิงอยู่แล้ว ที่สำคัญตอนนี้เลิกเที่ยวแล้ว (เพราะไม่มีเงิน)

ของเราประเภท รู้แล้วก็ยังทำ แล้วไอ้เรื่องที่เล่ามาเนี่ย เด็กเราก็ยิ่งกว่านี้ อีก แค่นี้ ชิว ชิว

เราสัมภาษณ์ทุกคนแหละ ชีวิตมันก็แค่นี้ เดี๋ยวก็ตายแล้ว จะเอาอะไรมากมาย คนเที่ยวมันก็รู้

อยู่ที่ว่ามันจะป้องกันหรือเปล่า

อยากบอกว่า อยากรักก็ต้องเสี่ยง ไม่อยากให้เพียงแค่ความฝัน ลำบากลำบนไม่สนใจ

อยากบอกอีกว่า พวกที่สมควรอ่านที่สุด ก็ไอ้พวกบริหาร ไก่อ่อนสอนขัน นั่นแหละ

อยากบอกอีกว่า 2 คนเรามีกรรมเป็นกรรมเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แม้คุณจะป้องกัน
ถึงที่สุดก็เถอะ มันอยู่ที่ว่าคนเราทำอะไร หรือไม่ทำอะไรแล้ว ยอมรับสิ่งเกิดขึ้นจากการทำ และการไม่ทำนั้นสิ่งนั้น
ได้หรือไม่ ถ้ายอมรับและอยู่กับมันอย่างมีสติได้ก็แค่นั้น (แต่ มันพูดง่ายแต่ทำยาก นะสิ)

อืม อืม

หุ หุ

อิ อิ


ไอ้สามคำหลังนี่เหมือนกัน เวลา msn หรือโพสน์ ข้อความทำไม่ต้องมีด้วย ไม่เข้าใจ


02 พฤศจิกายน 2552

เข้าป่า โบราณว่า เห็นอะไร อย่าทัก

เรื่องมีอยู่ว่า ต้น รวมตัวกับเพื่อน ๆ ได้กลุ่มหนึ่ง ประมาณ 10 คน แล้วนั่งคุยกันว่า เด๋วหลังเสร็จงานจัดโปรแกรม ไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน พองานเสร็จ ทุกอย่างลงตัว ก็เลยมานั่งคุยกันว่า ไปไหนดี เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นว่า ไปดอยอินทรานนท์มั้ย แต่อีกคนบอกว่าฝนตก ไม่สนุกหรอกเข้าป่า พอคุยกันไปคุยกันมา ไม่ได้ข้อสรุป ต้นเลยบอก เอาตามที่เอ็งบอกนั้นละ ดอยอินทรานนท์ นั้นละ

พอได้ข้อสรุป ก็แยกย้ายไปเก็บข้าวของ ก็ขับรถไป พอไปถึงที่ ดอยอินทรานนท์ จอดรถเสร็จ ทุกคนหยิบกระเป๋าของตัวเอง แล้วเพื่อนผม จังหวะว่า พาแฟนไปเปลี่ยน บรรยากาศ พอเราเดินไปได้สักพัก ( นี้คือเดินอยู่ในป่าแล้วนะครับ ) แฟนเพื่อนผม ไปเจอสิ่งที่แบบว่า คล้าย ๆ กับ แก้วน้ำอะไรสักอย่างเนียละ เลยเดินไปจับ แล้วหยิบมาดู ก็ไม่มีอะไร พอหันไปตันไม้ต้นอื่น ก็มีสิ่งแบบเดียวกันอีก เลยหันมาบอกว่า รีบไปเถอะวะ มันจะมืดละ รีบเดินไปให้ถึงจุดกางเต้นเถอะ

พอเดินไปได้สักระยะหนึ่ง แฟนเพื่อนผมก็บอกว่า อ้าวเห้ย พวกเอ็งเห็นอะไรนั้นปะหายเข้าไปแล้วอะ บนต้นไม้ ทุกคนบอก เห้ย เข้าป่าเห็นอะไร อย่าทัก สิ่งดีก็มีไม่ดีก็มี รีบไปเถอะ มันโพ้เพ้แล้ว จากนั้นก็ เดินแล้วก็เที่ยวตามปกติ แต่เรื่องมันมาเกิดตอนที่เดินทางกลับ

แฟนเพื่อนผมพูดขึ้นว่า ขอไปด้วยได้มั้ย เพื่อนผมเลยบอกว่า อ้าวไอห่า แฟนเอ็งเป็นไรว่า อยู่ ๆ บอกว่า ไปด้วยได้มั้ย เพื่อนผมเลยบอกว่า มาด้วยกันก็กลับด้วยกันดิ หรือว่าเอ็งจะอยู่เที่ยวกันต่อ 2 คน ผมได้ยินเสียงที่ตอบมาแบบช้า ว่า ขอบคุณ

ทุกคนหันมองหน้าแล้วเดินต่อ ต้นคิดในใจแล้วว่า มันต้องมีอะไรแน่เลย เพราะว่าทำไมตามัน ขวาง ๆ แปลก ๆ เหมือนไม่ใช่แฟนเพื่อนผม ที่ต้นรู้จัก พอกลับมาถึง กทม. ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เอาของไปเก็บ แล้วเดียวมาเจอ บ้านต้น นั่งกินสุรา กัน เพื่อนผมคนนั้นมันก็พาแฟนมันมานั่งด้วย แล้วต้นจำได้ติดตาเลยว่า ในวงมีไก่ต้มน้ำปลา กับ หอยแครงอยู่

แฟนเพื่อนผมบอก หิวข้าวจัง ต้นเลยบอกว่า เห้ยเอ็งไปตักข้าวมาให้แฟนเอ็งกินดิ พอตักมาให้ก็ไม่กิน กินเข้าไปไม่ถึง 2 คำ แล้วบอกอิ่ม สุราหมดไป 1 กลม บางคนก็เดินไปเข้าห้องน้ำ บางคนออกไปคุยโทรศัพท์ ส่วนเพื่อนผม อีก 2 คนออกไปซื้อมาต่อ ในวงไม่เหลือใคร นอกจาก แฟนเพื่อนต้น ทีแรกต้นก็ไม่ได้สนใจอะไร ก็นั่งคิดว่าแฟนเพื่อนต้น ปกติมัน เฮฮ่า นิหว่าทำไมวันนี้มันเงียบผิดปกติว่ะ

แล้วเพื่อนผมอีกคนที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ก็เรียกต้นว่า เห้ยมาดูไรนี่ดิ เห็นเต็ม ๆ 2 ตาเลย ไก่ที่วางอยู่ แฟนเพื่อนผมกินแบบ ใส่มือฉีดอะ กระชาก ไม่ก็ไม่น่าแปลกอะ แค่กินไก่อาจจะกินไม่ถนัด แต่ที่แปลกคือ แฟนเพื่อนผมคนนี้ มันสำอางมาก ไม่มีทางที่จะทำแบบพวกต้นแน่ กินหมดเสร็จจะพูดยังไง เอาเป็นกินแบบสกปรก อะ ก็ยังไม่สนใจอะไร แค่ดูแล้วมันแปลก ๆ ไป เท่าไรยังไม่ได้คิดไรมาก
พอมา 2 วัน เพื่อนโทรมาบอกว่า แฟนมันชอบให้ซื้อของ สด ๆ ดิบ ๆ มาให้ บอกว่าจะเอาไว้ทำกับข้าว แต่พอเช้า ของที่ซื้อมาหายหมด ทุกคนเลยบอกว่า ผิดปกติแล้วละ

เลยรวมตัวกันแล้วบอกเพื่อนคนนั้นว่า วันนี้ไปซื้อมาอีกนะ แล้วมาแอบดูกันว่า มันเกิดอะไรขึ้น ผมที่ได้คือ แฟนมันลุกขึ้นมากลางดึก มาหยิบของพวกนั้นกินแบบ ไม่ใช่คนอย่าเรา ๆ กินอะครับ ที่เห็นอะ ต้นเลยบอกว่า ไม่ใช่แล้วอะ เลยบอก ลองเ อาพระให้ใส่ พอให้พระใส่ ก็ปกติดีทุกอย่า พูดจารู้เรื่อง

ต้นก็ งง ว่าถ้าผีเข้าหรืออะไรยังไง เจอพระก็ต้อง ออกหมด แต่นี้ปกติ เลยบอกว่างั้นพาไปที ตำหนักอาจารย์ต้นแล้วกัน ไม่ขอบอกนะครับว่าที่ไหน พอไปถึงที่ ตำหนัก อาจารย์เลยถา มว่า ไปโดนอะไรมา ก็เลยลอง ๆ เล่าให้ฟังว่า หน้าจะเป็นแบบนี้นะ

อาจารย์ต้นเลยบอกว่า แฟนเพื่อนเอ็ง โดนของดีแล้วละ สรุปง่าย ๆ เลยคือ ปอบผีฟ้า ที่เราเคยได้ยินชื่อหรือที่ชมกันตามทีวี นั้นละ ต้นยังบอกเลยว่า ปอบผีฟ้า ยังมีอยู่อีกหรอ อาจารย์ อาจารย์บอกว่ามีเยอะ ทางเหนือ พวกนี้จะอยู่ตามต้นไม้ ต้นเลยนึกขึ้นได้ ที่มันทักที่มันหยิบมา เลยเล่าให้เค้าฟังว่าแบบนี้ ๆ

แล้วก็บอกว่า ต้นเอาพระให้ใส่ก็ปกติดีนะ อาจารย์เลยบอกว่า พวกนี้ เป็นชนิดที่ว่าเก่งแล้ว แล้วที่เพื่อนเอ็งไปเจอเนีย ที่วาง ๆ ไว้ตามต้นไม้เนีย คือพวกที่แบบว่า ชนิดที่ว่า คนเลี้ยงเอาไม่อยู่แล้ว หรือที่เรียกว่า ขันแตก ประมาณนั้น

จากนั้น อาจารย์เลยบอกว่า ปิดหน้าต่าง ปิดประตูให้หมด แล้วจับแฟนเพื่อนผมให้ดี อาจารย์ก็ทำการ เรียกขวัญ แล้วก็เอาน้ำมนต์ ทำเหมือนในหนังเลย แล้วพอตนนั้นออกจากร่าง อาจารย์บอกว่า ทำใจได้เลย ไม่เกิน 3 วัน เสียชีวิต เพื่อนผมเลยบอกว่า ทำไมหรอครับ ออกไปแล้วทำไมแฟนผมต้องตายแล้ว อาจารย์ต้นเลยบอกว่า ตนนั้นมาสิงกินข้างในไปหมดแล้ว ที่แฟนเอ็งอยู่ใน เพราะว่า ผีปอบตนนี้ พอผีออกไป แฟนเอ็งก็เหมิอนร่างที่ไร้วิญญาญแล้วละ

แล้วต้นเลยถามว่า ไม่มีวิธีช่วยเลยหรอครับ อาจารย์บอกว่า ไม่มีแล้วละ ทำใจซะเถอะ เกิดก็ต้องมีจาก มนุษย์ทุกคนเกิดมาต้องชดใช้กรรมทั้งนั้นละ เพื่อนผมเลยกอดแฟนมันแล้วร้องไห้แบบเด็กเลย ผมยังมานั่งคิดเลยว่าถ้าเกิดขึ้นกับครบครัวผมหรือคนรู้จัก เราจะทำอย่างไงดี จากนั้นไม่ได้ ได้ประมาณ 4 วัน แฟนเพื่อนผมก็เสียชีวิตลง ร.พ.ศิริราช ตรวจแล้วลงในบัตรมรณะว่า เครื่องในหยุดทำงานเฉียบพัน

ขอแสดงความเสียใจกับ กับครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วยครับ

เจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง

อันนี้ก็จริง ห้ามทัก เห็นด้วย แต่ทุกอย่าง ก็ ต้อง '' เป็นไปตามกรรม ''
เพราะถ้าไม่ตายด้วยปอบ ก็ต้องตายด้วยอย่างอื่นอยู่ดี

สาธุ สาธุ

สาระจาก "รถไฟฟ้า..มาหานะเธอ"

"รถไฟฟ้า มาหานะเธอ" หนังแนว romantic comedy ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นหนังรักแห่งปี ถ้านับจากรายได้ และหนังเรื่องนี้ก็เป็นกลุ่มผู้กำกับรุ่นใหม่ ที่ยังคงทำหนังแนวที่แฝงข้อคิดไว้ในหนังแบบคนรุ่นใหม่อีกหลายเรื่องทีเดียว

เรื่องของเรื่องก็เริ่มจาก มาม่า ผ่านมาทาง forward mail (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะ credit ให้ใคร เพราะมันเป็น forward mail)

สาระจาก"รถไฟฟ้า..มาหานะเธอ" : ทำไมมาม่าต้องต้ม 3 นาที?
( อยากให้ลองอ่านดู..จนจบนะ เผื่อว่าจะมีประโยชน์ หรือไปโดนใจใครเค้าเข้า............ )

ตามประสาคนดูหนังแล้วคิดเยอะ ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดเหมือนกันหรือเปล่าครับ พอดีว่าไปดูหนังเรื่องนี้มา แล้วตั้งข้อสังเกตขึ้นมาได้ 1 ข้อ (จริงๆมีอีกแต่หาข้อมูลอยู่) เรื่องเกี่ยวกับ "มาม่า" ในเรื่อง รถไฟฟ้า..มาหานะเธอ

ทำไมมาม่าต้องต้ม 3 นาที?

สังเกตว่าภายในเรื่องตัวละครจะมีความสัมพันธ์กับมาม่า 2 ครั้ง คือ ตอนที่พระเอกจะต้มมาม่าให้นางเอกกินรองท้องก่อนขึ้นรถแท็กซี่ และตอนที่นางเอกผิดหวังเรื่องพระเอกต้องไปเรียนต่อเมืองนอก จึงกลับมาต้มมาม่าที่บ้านคนเดียว

หนังกำลังจะบอกอะไรเราหรือเปล่า? ผมว่าเขากำลังจะบอกเรื่องสาระของ ”การรอคอย” และ "ความอดทน"

ครั้งแรกในรถแท็กซี่ นางเอกเปิดกินในขณะที่เพิ่งใส่น้ำร้อนไปแค่ 1 นาที พระเอกก็บอกว่า “ก็ข้างถ้วยเขาเขียนให้รอ 3 นาที” นางเอกก็เถียงว่าชอบกินแบบนี้ เส้นกรอบๆแบบนี้

ถ้าเรามองแบบเปรียบเทียบ ม่าม่ากับความรัก .. เหมือนหนังกำลังบอกว่า ทั่วไปตามสากลโลก ความรักมันมีเวลาของมัน การบ่มเพาะเส้นของความรักให้นุ่มพอดี พอเหมาะเข้าปากนั้น ต้องใช้เวลา แม้นางเอกอาจจะชอบเส้นกรอบๆ ที่ใช้เวลาน้อย แต่ความรักเป็นเรื่องของคน 2 คน จะตัดสินด้วยความชอบเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ และเวลาอีก 2 ปีที่พระเอกจะไม่อยู่ ก็คือช่ว งเวลาที่จะบ่มเพาะความรัก ให้สามารถกินได้ทั้ง 2 ฝ่ายนั่นเอง

มาม่ามักถูกใช้เป็นตัวช่วยของคนที่ “ไม่มีเวลา” ไม่มีเวลาทำกับข้าว ไม่มีเวลาไปหาอาหารกินข้างนอก เหมือนในเรื่องนี้ นางเอกคิดว่าตนเอง”ไม่มีเวลา”จะรอพระเอกแล้ว เพราะอายุก็มาก ! เหงาก็เหงา กินข้าวคนเดียว แต่จะให้ทำอย่างไร แม้แต่มาม่ายังมีเวลา 3 นาทีของมัน แล้วความรักล่ะ?

จึงมาสู่ตอนที่นางเอกเครียดในการต้มมาม่าคนเดียวที่บ้าน อยากกินเร็วๆแต่อะไรก็ขัดใจไปหมด น้ำก็ไม่ได้ต้มไว้ ฉีกซองเครื่องปรุงก็ลำบาก เนื่องจากความ”ใจร้อน” มองแต่”เป้าหมาย” แต่ลืมมอง”ระหว่างทาง” การจะกินมาม่า ต้องต้มน้ำ ต้องค่อยๆเตรียมเครื่องปรุง เหมือนความรัก หากจะมองแต่เป้าหมายว่าฉันกับเขาจะต้องรักกัน แต่ลืมใส่ใจ”ระหว่างทาง” ภาพนั้นคงไม่เกิด

มาม่า ก็เป็นตัวแทนหนึ่งของคนในสมัยนี้ ที่ต้องใช้ชีวิตเร่งรีบ ทุกๆอย่างต้องแข่งกับเวลา จนลืมไปว่า เรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างความรัก มันเร่งรีบไม่ได้หรอก

สรุปคือ ผมคิดว่า หนังใช้มาม่าสอนเราในเรื่องความรัก ถ้าคิดจะรัก ก็ต้องเรียนรู้ที่จะรอ ต้องอดทน คนสมัยนี้มักขาดความอดทนครับ แลกเบอร์กันไม่กี่วัน ก็อยากให้อีกฝ่ายเรียกเราว่าแฟนแล้ว น่าจะมองดูว่า แม้สิ่งที่จะช่วยเราประหยัดเวลามากแค่ไหน อย่างมาม่า มันก็ยังมีเวลาของมัน แล้วกับความรัก ก็เช่นกัน


แล้วแล้วเค้าก็มาตอบในตอนถัดมา

เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่คิดไม่ถึง คิดว่าผู้กำกับก็คิดเหมือนกับคนนี้แหละ
แต่ แลกเบอร์กัน ไม่ต้องเรียกว่าแฟนก็ได้ ก็แค่ได้.....สักที ก็พอ หรือเบิ้ลก็ได้ ไม่ต้องเรียกแฟนหรอก
เพราะคำว่าแฟนไม่สำคัญสำหรับ กรู กรูมีเรื่องเดียวแหละ

เพิ่มเติม สาระจาก"รถไฟฟ้า..มาหานะเธอ" : จำนวนขวดเบียร์ที่พ่อ เหมยลี่ กินแล้วทำให้ตำรวจจับ ข้อหาเมาแล้วขับ^^

ตามภาษาคนดูหนังแล้วคิดเยอะ(เรื่องแ...กเหล้า) สังเกตุว่าตอนที่เหมยลี่ไปรับพ่อ แล้วได้คุยกับพ่อในรถ เหมยลี่ ถาม "นี่พ่อกินเบียร์เข้าไปกี่ขวดเนี่ย ถึงได้ถูกตรวจแอลกอฮอล์"

พ่อ ตอบ "ก็กินจนเอาฝาเบียร์ไปเล่นหมากฮอสได้ล่ะ "

จากคำตอบของพ่อทำให้ต้องคิดต่อว่า แล้วมันกี่ขวดวะ เล่นหมากฮอส ต้องเล่น 2 คน มีตัวมากคนละ 8 ตัว

เพราะฉะนั้นจึงกินทั้งหมด 2x8=16 ขวด บางคนอาจสงสัยว่า กินอาจจะไม่เมาถ้ากินกันหลายคน แต่ในตัวหนังบอกว่า เล่นหมากฮอส ทำให้คำตอบเหลืออยู่ข้อเดียวคือ แม่งกินกันแค่ 2 คน ถ้าถามคอเบียร์แล้วการกินเบียร์ คนละ 8 ขวด เมาไหม ผมไม่ขอตอบขอให้ถามนักกินเอาเอง ไม่ก็ลองเองเลย ซื้อเบียร์มาซัก 8 ขวด แล้วนั่งกินให้หมด ไม่จำกัดเวลาด้วย แต่ขอให้กินให้หมด แล้วจะรู้เอง

สุดท้ายเป็นความรู้สำหรับพวก เอาแต่ว่าคนเมา ไม่เคยกิน ตำรวจจะจับเราได้ถ้ามีแอลกอฮอล์ในกระแสเลือด เกิน 50 มิลลิกรัม เปอร์ อะไรก็แล้วแต่มันจำไม่ได้ สรุปว่า อย่าเป่าให้เกินตัวเลข 50 เป็นพอ ก็ประมาณเบียร์ 6 แก้ว (250 CC)มั้ง

และจากเป็นคนคิดมากเรื่องการดูหนัง หนังสอนเราว่า เราได้แต่สั่งสอนคนอื่น แต่เราเป็นซะเอง (พ่อเหมยลี่ คนสอนแต่เมาเอง) ไอ้คนที่มันทำโฆษณา เลิกเหล้า บอกว่าคนกินเหล้าเลวเสียเต็มประดาไม่มีคุณค่า อ้อ รวมถึงคนสูบบุหรี่ ด้วย ว่าเขาซะเลวเลย ผมว่ากินขนมได้เลย ไอ้คนที่แม่งร่วมกันสร้างโฆษณาตัวดังกล่าวขึ้นมา มันก็กินเหล้า มันก็สูบ บุหรี่นั่นแหละ สอนให้คนกินเหล้า และสูบบุหรี่ ให้กระทำในที่ไม่รบกวนผู้อื่นไม่ละเมิดสิทธิ ผู้อื่นก็พอ ไม่ต้องไปประนาม อะไรพวกเขามากมายหรอก พวกเขาก็มนุษย์ เดินดินเหมือนพวกเมริงนั่นแหละ ไอ้พวกมือถือสาก ปากถือศีล

กรูเอง

19 ตุลาคม 2552

ดูภาพแล้วรู้สึกอย่างไร


ดูภาพด้านบนแล้วท่านรู้สึกอย่างไร

ผมว่าหลายคนคิดแบบ mail forward ที่ผมได้รับมา

ชีวิตคนสั้นนักว่าไหม? จงใช้ชีวิตวันนี้ให้คุ้มค่า เผื่อจะไม่มีวันหน้าสำหรับคุณ เหมือนอย่างคนๆ นี้ อะไรจะซวยขนาดน้าน


แต่สำหรับเพื่อนผม แสดงความคิดเห็นอีกมุมหนึ่ง
ดูจากภาพแล้ว คนที่เดินถนนไม่ได้เสียชีวิตนะ คิดแง่ลบมากไปปล่าววววววววว สืบข้อมูลมาดีหรือยัง มาหาว่าเขาตาย ตอนนี้คนนี้อาจเดินข้ามถนนที่ไหนสักแห่งก็ได้


ท่านจะคิดอย่างไรอยู่ที่ตัวท่าน ไม่มีถูก ไม่มีผิด ไม่มีดี ไม่มีชั่ว .......

22 กันยายน 2552

305 ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

หนุ่มใหญ่เสพยาเกินขนาดเสียชีวิตคาห้องพัก กรุงเทพฯ 22 พ.ค.
หนุ่มใหญ่เสพยาเกินขนาดเสียชีวิตคาห้องพักย่านอ่อนนุช ตำรวจคาดเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ ำกว่า 3 วัน

นายเกียรติศักดิ์ กิตต ิโฆษน์ อายุ 39 ปี อาชีพคนขับรถแท็กซี่ นอนเสียชีวิตอยู่ในห้องพักเลขที่ 305 จุฑาแมนชั่น ตรงข้ามซอยอ่อนนุช 35 ที่เกิดเหตุพบสายยาง ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสพยาตกอยู่ ตำรวจจึงสันนิษฐานว่า ผู้ตายอาจเสพยาเกินขนาดจนเสียชีวิต

ทั้งนี้ ในห้องพักยังล็อกกลอนจากด้านใน ทำให้ตำรวจตัดประเด็นชิงทรัพย์ทิ้ง เบื้องต้นได้ส่งศพไปชันสูตรที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจแล้ว.-สำนักข่าวไทย


คืออย่างนี้ครับ ไอ้ข่ าวนี้มันเกิดขึ้นใกล้ตัวผมมาก เพราะผมอยู่ห้องตรงข้ามกับมัน ซึ่งวันที่เค้ามาเอาศพเหม็นมากครับ แล้วทีนี้เลยลองมาหาข้อมูลในเนทว่าเค้าหน้าตายังไง แต่ไม่ปรากฏหลักฐาน แต่ดันไปรู้ข้อมูลที่น่าตกใจไปมากกว่านั้น คือ ผมใช้กูเกิ้ลค้นหาคำว่า "ตาย ห้อง305" ซึ่งมีหน้าที่แสดงขึ้นมามากมาย แต่ล้วนเป็นข่าวคนตายในห้อง305 ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็รามอินทรา ลาดพร้าว มีนบุรี ต่างจังหวัดก็มี สาเหตุการตายก็เกิดจาก ฆ่ากันเสียเป็นส่วนมาก ไม่เชื่อ ลองเสิร์ชดูสิครับ

แล้วการตายที่ว่าจะเกิดจากการทำตัวไม่ดีทั้งสิ้น ทั้งมีกิ้ก เสพยา ปล้น นอกจากห้องพักแล้วบ้านเลขที่ 305 ก็ยังมีคนตายอีกเป็นจำนวนมาก

"ทำไมใครก็พากันต้องตายในห้อง305"

ผมจึงเกิดความคิดขึ้นมาว่าถ้าเราค้นหาจนครบ จะมีคนตายในห้อง 305 จากแมนชั่นอพาร์ทเม้นต่างๆกี่คน แล้วทำไมต้องตายเฉพาะเลข 305 นี้ ผมลองค้นหาเลขอื่นเช่น 306 307 408 409 สารพัด กลับไม่มี หรือมีก็น้อยมาก

จากการวิเคราะห์ด้วยหลักฮวงจุ้ยของจีน เลข 3 แปลว่าเกิด 5 แปลว่าไม่ รวมแล้วคือ ไม่เกิด นั่นก็คือ "ตาย"นั่นเอง ผมไปค้นหาต่อถึงข่าวอาชญากรรมต่างประเทศ มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับ 305 อีกมากมาย เช่นจำนวนคนตายในเหตุวินาศกรรม เลขทะเบียนรถที่ใช้ระเบิด เที่ยวบิน 305 ที่ตกในเนปาล ขนาดภราดรไปพ ักโรงแรมห้อง 305 ไฟยังไหม้เลย

และจากข้อมูลเหล่านี้ยิ่งทำให้ผมต้องค้นหาสาเหตุของมันต่อไปอีก ผมนำ 3 + 5 = 8 ซึ่ง 8 ถ้าเรากลับตัวมัน จะเป็นเครื่องหมาย อินฟินิตี้ ที่แปลว่า ไม่มีที่สิ้นสุด นั่นหมายถึง 305 จะก่อให้เกิดความตายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

พระที่วัดลาดปลาเค้าท่าน ให้ความรู้มาว่า เลข 305 เกี่ยวข้องกับตำราโหราศาสตร์พม่า เป็นเลขที่ถูกสาปแช่งให้วิบัติ ใครที่เกี่ยวข้องกับเลขนี้ต้องหายนะมานานนับร้อยๆปี เพราะวันที่พม่าแพ้สงครามไทยนั้นเกิดขึ้น วันที่ 30 เดือน 5 พม่าแค้นมากจึงลงเลขยันต์ตัวนี้ใส่ไว้ใต้ฐานเจดีย์ ท่านบอกว่า 305 เป็นเลขผี เลขไม่มงคล เหมือ 13 ของฝรั่ง เลขไทยมีแต่รู้กันว่า 9 ดี 1 ดี แต่ไม่มีใครรู้ว่า 305 นั่นไม่ดี

ท่านบอกว่าตอนนี้ใครที่มีความผูกพันธ์ ใกล้ชิดกับเลขนี้ ให้นำแผ่นทองไปติดทับเลข 5 เสีย ให้เหลือ 30 ไว้ จะได้ดีแทน ท่านยังบอกอีกว่า เวลาที่ผีออกมาอาละวาดผู้คนก็จะออกกันตอน ตี 3.05 เช่นกัน

" ระวังเอาไว้นะครับ 305 " ผมเตือนคุณแล้ว

ทะเบียน รถ Optra สม 6305 วันต่อทะเบียน ทุกวันที่ 13 มีนาคม .... บ้านอยู่ซอยพิมาน 14 (แต่ความจริงมันเป็น ซอย 13 เพราะมันไม่มีซอย 13) เอาไงดีครับแนะนำ ด้วยนะครับ มิน่าไม่ค่อยมีหญิงมาติด ได้เลขไม่ดีนี่เอง

ขอแสดงความนับถือ

เมื่อเพื่อบ่นถึงบ้านของ แสนสิริ

ซื้อมาแล้ว บ่นทำแป๊ะ อะไรวะ อยากโง่เองไม่ศึกษาให้ดี เงินตั้ง 10 ล้าน เค้าไม่ได้บังคับให้ เมริง มาซื้อซะหน่อย

มีอะไรก็ค่อยๆแก้ไขกันไป เท่าที่ดูแก้ได้อยู่แล้ว แต่มันแค่ยึดติดกับคำว่า 10 ล้านเท่านั้น

ยังไงช่วยส่งต่อให้ ไอ้พวก เรียนบริหารดูความคิดเห็นเราด้วยนะ เพราะเราว่าป่านนี้ แม่งคงด่า แสน กันตรึม แม่งไม่เคยโทษตัวเอง

คำตอบ

วันก่อนเพื่อนส่งเมลมาให้ฉบับหนึ่ง หัวข้อก็คือ "คุณอ่านได้มั้ย"

พออ่านแล้วรู้สึกสนุกดี ว่า....เอ้ !! แปลกจังเลย นี่เราก็ยังอ่านมันได้นี่หน่า แม้เหมือนจะงง ไม่เข้าใจ

แล้วทำให้เกิดข้อคิดบางอย่างขึ้นมา ท่ามการดำเนินชีวิตในสถานการณ์ที่ดูสับสนอลหม่านวุ่นวายในยุคปัจจุบันนี้
ไม่รู้ว่าคุณเคยอ่านหรือยัง แต่เอาล่ะ เราไปอ่านกันดู ดูสิว่าคุณอ่านมันได้มั้ย แล้วค่อยมาคุยกันต่อ

ณุอาน่ได้มยั้

ถ้าคณุอาน่บทคาวมนี้ได้
คณุมีความคดิที่แขง็แรงพอสวคมรเลยนะ
คณุอาน่ได้หรอืเลป่าล่ะ
มีแค่ 55 คนจาก 100 เท่านนั้แล่หะที่อาน่ได้

ฉนัไม่อายกจะเชอื่เลยว่า
ฉนัเข้าใจสงิ่ที่ฉนักำลงัอาน่อู่ยนี้
มนัเปน็ปฎกราากรณ์ของคาวมคดิของม์ษุยน
ผลการศกึาษวจิยัจาก มวหายิทัาลย แบมคิร์จด ก่าลวว่า

มนัไม่สคำญเลยว่าตวัอรัษกเยีรงถตอ้กูงหรอืไม่ในคำคำหนงึ่
มนัสคำญแค่ว่า ตวัอษักรแรกและตวัอษกัรตวัสดุทาย้ของคำ
นนั้อู่ยในตนำแห่งที่ถกูตอ้ง ที่เลืหอนนั้มนัจะมวั่ซวั่อ่ายงไร
คณุก็อาน่มนัได้อู่ยดี ไม่มีปหญัา

ที่เปน็อาย่งนี้เราพะคาวมคดิของมษุน์ยนนั้
ไม่ได้อาน่ตวัอษกัรทกุตวัซกัหอน่ย
แต่อาน่เปน็คำเตม็ ๆ คำ
สดุยอดเลยใช่มยั้ล่ะ...ใช่เลย
แต่ยงัไงฉนัก็คดิว่าการสกะดมนัสคำญันะ
ถ้าคณุอาน่บควาบมนี้ได้ ชว่ยสง่ตอ่หอน่ยนะ


ฉะนั้น ความสับสันวุ่นวายไม่ได้เป็นเหตุทำให้เราไปต่อไม่ได้ และเราไม่ควรจะวิตกจริตกับสิ่งต่างๆที่ประดังประดาถ่าโถมเข้ามาในชีวิตจน เกินเหตุ

จงเผชิญกับมันเถิด แล้วคุณจะรู้ว่า

คุณสามารถอ่านปัญหาที่ดูงงงวยได้ไม่ยาก และสามารถเผชิญหน้ามันต่อไปได้ และไปจนถึงความสำเร็จ

ใช่.....คุณยังไหว.....และคุณอ่านมันได้

ถ้าเป็นคุณอ่านแล้วจะตอบว่าอย่างไรดี?

เก่าแล้ว ว่ะ อัพเดทหน่อยก็ดี

อีกมุมมองกับ ความคิดเลือกเขาอย่างไร




















ไอ้คนส่งน่ะ เลือกสักเขาได้หรือยัง

คนพิมพ์ น่ะ โดนสวมมาสองเขาแล้วนะ ส่วนเขาที่สามมันหลุดเองตามสภาพ แต่จะหาเขาต่อไป ไม่กลัวอยู่แล้ว

เจ็บกว่าเขาก็เจอมาแล้ว เจ็บอีกเขาจะสักเท่าไร ใช่ไหม

เรื่องของโรค

เฮ้ย .....

ไหน ลองยิ้มซิ

ลองพูด อะไรก็ได้

อ้อ ลองยกแขนหน่อย

เออ แลบลิ้น ด้วย

ก็ยังดีอยู่นี่หว่า










ซักพัก


แมร่งข้าม ถนน เสือก โดนรถชนตายห่า





เรื่อง สอนให้รู้ว่า

โรคบางอย่างรักษาก็หาย ไม่รักษาก็หาย
โรคบางอย่างรักษาก็หาย ไม่รักษาไม่หาย
โรคบางอย่างรักษาไม่หาย ไม่รักษาก็ไม่หาย
โรคบางอย่างรักษาไม่หาย ไม่รักษาก็หาย

ทุกคนอยู่ตามกฏแห่งกรรม ปล่อยๆมันไปบ้างเถอะ

10 เมษายน 2552

การคิดลบ 2

เรื่องสืบเนื่องมาจาก เพื่อนได้รับงานบรรณาธิการฝึกหัด ให้มาแก้ไขบทความเรื่องเกี่ยวกับอะไร ผู้เขียนก็จำไม่ได้ แต่เห็น เพื่อนเคยเอามาทำหลายครั้ง แต่ละครั้งก็ไม่ได้เงิน มาครั้งนี้ เพื่อนก็รับทำอีกไม่รู้คิดยังไง สงสัยเข้า อีหรอบเดิม โดนเอาผลงานไปดัดแปลงแล้วนำเสนอ โดยคนที่ตรวจทาน (ก็ไอ้เพื่อนผมนี่แหละ) ไม่ได้ อะไรเลย อืม ไม่ถูก ไม่ถูก มันได้ประสบการณ์แทน อย่างนี้ผมเรียกว่า เจ็บแล้วไม่จำ ก็ทำใจแล้วกัน ถ้าไอ้ประสบการณ์มันเปลี่ยนเป็นเงินได้ ไอ้กระผมคงสนับสนุนให้ทำต่อแหละ ขอแสดงความนับถือ

Negative Thinking

การคิดในด้านลบ

ทางผู้เขียนได้กำลังใจจากเพื่อน ผู้นำเสนอเรื่องราวใน บล็อกต่างๆในที่นี้ โดยปกติตัวผู้เขียนเอง ก็มีจิตใจปกติเหมือนคนทั่วไปนี่แหละ แต่อยากนำเสนอมุมมืด ในความคิดเพื่อให้เพื่อนลองอ่านดูสนุกๆ แสบๆ คันๆ ผู้เขียนเป็นนักเขียน มือใหม่ซิงๆ เลย ถ้ามีอะไรแนะนำ ก็บอกด้วยนะ

ลองดูซักเรื่อง เล่นๆ วันนี้ตอนเย็นรู้สึกปวดหัว เลยแวะบ้านเพื่อน โดยโทรบอกเพื่อนก่อนว่าจะเข้าบ้าน เพื่อนนะ " ฮาโหล วันนี้จะเข้ากรุงเทพ... จะแวะเข้าไปหานายนะ " เพื่อนตอบ " เออๆ เข้ามาเลยกำลังกินอาหารเวียดนามอยู่ เข้ามากินด้วยกันซิ" ความคิดไปแล้ว เอ..........มันชวนไปกินเพราะมันมีมาก จนกินไม่หมดหรือเปล่าวะ เพราะปกติจะไปกินกับเพื่อนคนนี้ นอกบ้านเสมอ. เป็นไงครับ คิดลบไหม ยังมีอีกหลายเรื่อง จะทยอยเอามาลง ( คิดไป คิดมา ภาษาเขียน เหมือนพวกเขียน หนังสือปลุกใจ เสือป่ายังไงไม่รู้ (Ha) )