02 พฤศจิกายน 2552

สาระจาก "รถไฟฟ้า..มาหานะเธอ"

"รถไฟฟ้า มาหานะเธอ" หนังแนว romantic comedy ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นหนังรักแห่งปี ถ้านับจากรายได้ และหนังเรื่องนี้ก็เป็นกลุ่มผู้กำกับรุ่นใหม่ ที่ยังคงทำหนังแนวที่แฝงข้อคิดไว้ในหนังแบบคนรุ่นใหม่อีกหลายเรื่องทีเดียว

เรื่องของเรื่องก็เริ่มจาก มาม่า ผ่านมาทาง forward mail (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะ credit ให้ใคร เพราะมันเป็น forward mail)

สาระจาก"รถไฟฟ้า..มาหานะเธอ" : ทำไมมาม่าต้องต้ม 3 นาที?
( อยากให้ลองอ่านดู..จนจบนะ เผื่อว่าจะมีประโยชน์ หรือไปโดนใจใครเค้าเข้า............ )

ตามประสาคนดูหนังแล้วคิดเยอะ ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดเหมือนกันหรือเปล่าครับ พอดีว่าไปดูหนังเรื่องนี้มา แล้วตั้งข้อสังเกตขึ้นมาได้ 1 ข้อ (จริงๆมีอีกแต่หาข้อมูลอยู่) เรื่องเกี่ยวกับ "มาม่า" ในเรื่อง รถไฟฟ้า..มาหานะเธอ

ทำไมมาม่าต้องต้ม 3 นาที?

สังเกตว่าภายในเรื่องตัวละครจะมีความสัมพันธ์กับมาม่า 2 ครั้ง คือ ตอนที่พระเอกจะต้มมาม่าให้นางเอกกินรองท้องก่อนขึ้นรถแท็กซี่ และตอนที่นางเอกผิดหวังเรื่องพระเอกต้องไปเรียนต่อเมืองนอก จึงกลับมาต้มมาม่าที่บ้านคนเดียว

หนังกำลังจะบอกอะไรเราหรือเปล่า? ผมว่าเขากำลังจะบอกเรื่องสาระของ ”การรอคอย” และ "ความอดทน"

ครั้งแรกในรถแท็กซี่ นางเอกเปิดกินในขณะที่เพิ่งใส่น้ำร้อนไปแค่ 1 นาที พระเอกก็บอกว่า “ก็ข้างถ้วยเขาเขียนให้รอ 3 นาที” นางเอกก็เถียงว่าชอบกินแบบนี้ เส้นกรอบๆแบบนี้

ถ้าเรามองแบบเปรียบเทียบ ม่าม่ากับความรัก .. เหมือนหนังกำลังบอกว่า ทั่วไปตามสากลโลก ความรักมันมีเวลาของมัน การบ่มเพาะเส้นของความรักให้นุ่มพอดี พอเหมาะเข้าปากนั้น ต้องใช้เวลา แม้นางเอกอาจจะชอบเส้นกรอบๆ ที่ใช้เวลาน้อย แต่ความรักเป็นเรื่องของคน 2 คน จะตัดสินด้วยความชอบเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ และเวลาอีก 2 ปีที่พระเอกจะไม่อยู่ ก็คือช่ว งเวลาที่จะบ่มเพาะความรัก ให้สามารถกินได้ทั้ง 2 ฝ่ายนั่นเอง

มาม่ามักถูกใช้เป็นตัวช่วยของคนที่ “ไม่มีเวลา” ไม่มีเวลาทำกับข้าว ไม่มีเวลาไปหาอาหารกินข้างนอก เหมือนในเรื่องนี้ นางเอกคิดว่าตนเอง”ไม่มีเวลา”จะรอพระเอกแล้ว เพราะอายุก็มาก ! เหงาก็เหงา กินข้าวคนเดียว แต่จะให้ทำอย่างไร แม้แต่มาม่ายังมีเวลา 3 นาทีของมัน แล้วความรักล่ะ?

จึงมาสู่ตอนที่นางเอกเครียดในการต้มมาม่าคนเดียวที่บ้าน อยากกินเร็วๆแต่อะไรก็ขัดใจไปหมด น้ำก็ไม่ได้ต้มไว้ ฉีกซองเครื่องปรุงก็ลำบาก เนื่องจากความ”ใจร้อน” มองแต่”เป้าหมาย” แต่ลืมมอง”ระหว่างทาง” การจะกินมาม่า ต้องต้มน้ำ ต้องค่อยๆเตรียมเครื่องปรุง เหมือนความรัก หากจะมองแต่เป้าหมายว่าฉันกับเขาจะต้องรักกัน แต่ลืมใส่ใจ”ระหว่างทาง” ภาพนั้นคงไม่เกิด

มาม่า ก็เป็นตัวแทนหนึ่งของคนในสมัยนี้ ที่ต้องใช้ชีวิตเร่งรีบ ทุกๆอย่างต้องแข่งกับเวลา จนลืมไปว่า เรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างความรัก มันเร่งรีบไม่ได้หรอก

สรุปคือ ผมคิดว่า หนังใช้มาม่าสอนเราในเรื่องความรัก ถ้าคิดจะรัก ก็ต้องเรียนรู้ที่จะรอ ต้องอดทน คนสมัยนี้มักขาดความอดทนครับ แลกเบอร์กันไม่กี่วัน ก็อยากให้อีกฝ่ายเรียกเราว่าแฟนแล้ว น่าจะมองดูว่า แม้สิ่งที่จะช่วยเราประหยัดเวลามากแค่ไหน อย่างมาม่า มันก็ยังมีเวลาของมัน แล้วกับความรัก ก็เช่นกัน


แล้วแล้วเค้าก็มาตอบในตอนถัดมา

เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่คิดไม่ถึง คิดว่าผู้กำกับก็คิดเหมือนกับคนนี้แหละ
แต่ แลกเบอร์กัน ไม่ต้องเรียกว่าแฟนก็ได้ ก็แค่ได้.....สักที ก็พอ หรือเบิ้ลก็ได้ ไม่ต้องเรียกแฟนหรอก
เพราะคำว่าแฟนไม่สำคัญสำหรับ กรู กรูมีเรื่องเดียวแหละ

เพิ่มเติม สาระจาก"รถไฟฟ้า..มาหานะเธอ" : จำนวนขวดเบียร์ที่พ่อ เหมยลี่ กินแล้วทำให้ตำรวจจับ ข้อหาเมาแล้วขับ^^

ตามภาษาคนดูหนังแล้วคิดเยอะ(เรื่องแ...กเหล้า) สังเกตุว่าตอนที่เหมยลี่ไปรับพ่อ แล้วได้คุยกับพ่อในรถ เหมยลี่ ถาม "นี่พ่อกินเบียร์เข้าไปกี่ขวดเนี่ย ถึงได้ถูกตรวจแอลกอฮอล์"

พ่อ ตอบ "ก็กินจนเอาฝาเบียร์ไปเล่นหมากฮอสได้ล่ะ "

จากคำตอบของพ่อทำให้ต้องคิดต่อว่า แล้วมันกี่ขวดวะ เล่นหมากฮอส ต้องเล่น 2 คน มีตัวมากคนละ 8 ตัว

เพราะฉะนั้นจึงกินทั้งหมด 2x8=16 ขวด บางคนอาจสงสัยว่า กินอาจจะไม่เมาถ้ากินกันหลายคน แต่ในตัวหนังบอกว่า เล่นหมากฮอส ทำให้คำตอบเหลืออยู่ข้อเดียวคือ แม่งกินกันแค่ 2 คน ถ้าถามคอเบียร์แล้วการกินเบียร์ คนละ 8 ขวด เมาไหม ผมไม่ขอตอบขอให้ถามนักกินเอาเอง ไม่ก็ลองเองเลย ซื้อเบียร์มาซัก 8 ขวด แล้วนั่งกินให้หมด ไม่จำกัดเวลาด้วย แต่ขอให้กินให้หมด แล้วจะรู้เอง

สุดท้ายเป็นความรู้สำหรับพวก เอาแต่ว่าคนเมา ไม่เคยกิน ตำรวจจะจับเราได้ถ้ามีแอลกอฮอล์ในกระแสเลือด เกิน 50 มิลลิกรัม เปอร์ อะไรก็แล้วแต่มันจำไม่ได้ สรุปว่า อย่าเป่าให้เกินตัวเลข 50 เป็นพอ ก็ประมาณเบียร์ 6 แก้ว (250 CC)มั้ง

และจากเป็นคนคิดมากเรื่องการดูหนัง หนังสอนเราว่า เราได้แต่สั่งสอนคนอื่น แต่เราเป็นซะเอง (พ่อเหมยลี่ คนสอนแต่เมาเอง) ไอ้คนที่มันทำโฆษณา เลิกเหล้า บอกว่าคนกินเหล้าเลวเสียเต็มประดาไม่มีคุณค่า อ้อ รวมถึงคนสูบบุหรี่ ด้วย ว่าเขาซะเลวเลย ผมว่ากินขนมได้เลย ไอ้คนที่แม่งร่วมกันสร้างโฆษณาตัวดังกล่าวขึ้นมา มันก็กินเหล้า มันก็สูบ บุหรี่นั่นแหละ สอนให้คนกินเหล้า และสูบบุหรี่ ให้กระทำในที่ไม่รบกวนผู้อื่นไม่ละเมิดสิทธิ ผู้อื่นก็พอ ไม่ต้องไปประนาม อะไรพวกเขามากมายหรอก พวกเขาก็มนุษย์ เดินดินเหมือนพวกเมริงนั่นแหละ ไอ้พวกมือถือสาก ปากถือศีล

กรูเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น